กระแส EMS

กระแส EMS (Electrical Muscle Stimulation) หรือที่เรียกกันว่า “กระแสไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อ” เป็นวิธีการใช้งานเครื่องมือไฟฟ้าเพื่อส่งกระแสไฟฟ้าผ่านอิเล็กโทรดเข้าสู่กล้ามเนื้อในร่างกายเพื่อกระตุ้นให้กล้ามเนื้อหดตัว การใช้งาน EMS มักมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังการบาดเจ็บ, ปรับปรุงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ, เพิ่มประสิทธิภาพในการออกกำลังกาย หรือใช้ในโปรแกรมฟื้นฟูสมรรถภาพหลังจากการผ่าตัด

รูปแบบกระแสของ EMS

กระแสไฟฟ้าที่ใช้ใน EMS มีหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบมีคุณสมบัติและการนำไปใช้ที่แตกต่างกัน:

  1. กระแสสลับ (Alternating Current, AC): กระแสที่สลับทิศทางการไหลของกระแสไฟฟ้า โดยจะมีการสลับขั้วไฟฟ้าจากบวกไปลบอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อเป็นจังหวะ
  2. กระแสตรง (Direct Current, DC): กระแสไฟฟ้าที่ไหลในทิศทางเดียวตลอดเวลา ซึ่งมักใช้เพื่อการกระตุ้นกล้ามเนื้อที่อ่อนแรงหรือกล้ามเนื้อที่ไม่สามารถหดตัวได้เอง
  3. กระแสแบบพัลส์ (Pulsed Current): กระแสไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาเป็นจังหวะ โดยมีการปล่อยกระแสและหยุดเป็นช่วง ๆ สามารถปรับความถี่ ความกว้าง และความเข้มของพัลส์ได้ตามต้องการ

ประโยชน์ของการใช้ EMS

  1. ฟื้นฟูกล้ามเนื้อ: EMS ช่วยในการฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังการบาดเจ็บ หรือหลังการผ่าตัด โดยการกระตุ้นการหดตัวของกล้ามเนื้อ ซึ่งช่วยป้องกันการหดเกร็งและเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อ
  2. เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ: การใช้ EMS ในการออกกำลังกายสามารถเพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อได้ ช่วยเสริมการออกกำลังกายแบบปกติ
  3. บรรเทาอาการปวด: EMS สามารถใช้เพื่อบรรเทาอาการปวด โดยการส่งกระแสไฟฟ้าเพื่อยับยั้งการส่งสัญญาณความเจ็บปวดไปยังสมอง
  4. ปรับปรุงการไหลเวียนโลหิต: การใช้ EMS สามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในบริเวณที่ใช้งาน ซึ่งช่วยในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและลดการอักเสบ

ผู้ที่เหมาะสมกับการใช้ EMS

  1. ผู้ที่ฟื้นฟูหลังการบาดเจ็บหรือการผ่าตัด: เช่น ผู้ที่มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือไม่สามารถหดตัวได้เอง
  2. นักกีฬาและบุคคลที่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพการออกกำลังกาย: ใช้ในการเสริมการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  3. ผู้ที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อหรือปวดเรื้อรัง: สามารถใช้ EMS เพื่อบรรเทาอาการปวดในบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย

ผลการใช้ EMS ขึ้นกับอะไรบ้าง

  1. ความเข้มข้นของกระแสไฟฟ้า: การปรับความเข้มข้นให้เหมาะสมกับสภาพของกล้ามเนื้อและเป้าหมายในการรักษาเป็นสิ่งสำคัญ
  2. ความถี่และรูปแบบของพัลส์: การเลือกความถี่และรูปแบบของพัลส์ที่เหมาะสมสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาได้
  3. ระยะเวลาในการใช้: ระยะเวลาและความถี่ในการใช้ EMS ที่เหมาะสมจะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
  4. สภาพร่างกายของผู้ใช้: ผลการรักษาขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล และควรได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญก่อนเริ่มการรักษา

EMS จะได้ผลดีที่สุดเมื่อ

  1. ใช้ภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ: ควรได้รับการประเมินและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ เช่น แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด
  2. ใช้ร่วมกับการออกกำลังกายและการบำบัดอื่น ๆ: การใช้ EMS ร่วมกับการออกกำลังกายและการบำบัดอื่น ๆ จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น
  3. ใช้ต่อเนื่องตามโปรแกรมที่กำหนด: การใช้ EMS อย่างต่อเนื่องและปฏิบัติตามโปรแกรมที่กำหนดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา

Leave a Comment

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Shopping Cart
Scroll to Top